อีกครั้งกับศูนย์ซ่อม i-mobile กับบริการที่ต้องถามหามาตรฐาน

service-imobile

เหตุการณ์ต่อเนื่องจากบทความ i-mobile @The Mall บางกะปิ: ขอเปลี่ยนจอบอกไม่มีอะไหล่ ต้องเทินเครื่อง, ขอยกเลิก บอกงั้นเปลี่ยนแค่จอก็ได้ หลังบทความกระจายและถูกแชร์ไป มีทีมงาน Service ของ i-mobile ติดต่อผมมา

โดยทีมงานแจ้งผมว่า จะหาอะไหล่และจองไว้ให้ในชื่อผม ซึ่งผมต้องรออะไหล่ประมาณ 20 วัน ผมก็โอเคไม่ติดปัญหาอะไร ไม่รีบ

และตอนคุยกันทีม Service แจ้งผมว่าจะส่งอะไหล่ไปที่ศูนย์ซีคอนฯ เพราะผมคงไม่สะดวกใจมาที่ศูนย์เดิมอีก (แน่นอนว่าผมไม่อยากศูนย์นั้นอีก)

แต่พอทีม Service ได้อะไหล่มา ก็โทรแจ้งผมว่าส่งมาที่ศูนย์เดิม (The Mall บางกะปิ) ผมก็ไม่ได้บ่นอะไร ไม่อยากเรื่องมาก แค่หาอะไหล่มาให้ก็ดีแล้ว

วันที่ 17 มิถุนายน 57 ผมก็เอาเครื่องไปส่งซ่อมที่ i-mobile ศูนย์ The Mall บางกะปิ ทุกอย่างก็ปกติ พนักงานแจ้งผมว่าค่าซ่อมจอ 4 พันกว่าบาท (ผมจำตัวเลขไม่ได้ เพราะยังไงก็ต้องจ่ายตอนซ่อมเสร็จอยู่แล้ว แต่มันแพงกว่ารอบที่แล้วที่แจ้งผมว่า 3,790 บาท ตกลงราคาค่าซ่อมมันไม่ตายตัวหรอ ?) ผมถามพนักงานว่าซ่อมนานไหมครับ พนักงานบอกผมว่า "ปกติก็ไม่เกิน 3 วันค่ะ" แล้วก็พูดต่อว่า "จริงๆ เย็นนี้ก็เสร็จ เอาชัวร์ๆก็พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ" คิดในใจเร็วแฮะ แต่ก็ถามย้ำำไปอีกรอบว่าเสร็จแน่นะ

20140618_122823

วันรุ่งขึ้น (18 มิถุนายน 57) ก็เดินทางไปที่ i-mobile ศูนย์ The Mall บางกะปิ ไปถึงก็ยื่นใบซ่อม พนักงานเดินไปหลังเค้าเตอร์ สักพักเดินออกมาแล้ว....

  • พนักงาน 1 : เครื่องยังไม่เสร็จค่ะ

  • ผม : แต่ในใบซ่อมก็ให้มารับวันนี้นะครับ

  • พนักงาน 1 : น้องเขาอาจจะลงวันผิดค่ะ ปกติต้อง 3 วัน (ผมคิดในใจ พูดง่ายจังลงวันผิด เมื่อวานก็ถามรายละเอียด และย้ำหลายรอบ งานมันทำตามคิว ก่อนตอบพนักงานก็เดินไปถามช่าง เพราะฉะนั้นต้องรู้ก่อนอยู่แล้วว่างานเยอะไหม แล้วเครื่องผมเสร็จทันหรือเปล่า)

  • ผม : อ้าว...... แต่เมื่อวานน้องคนนั้น (ชี้ไปที่คนที่ทำรายการให้ผมเมื่อวาน) บอกว่า ตอนเย็นก็เสร็จ ถ้าเอาชัวร์ก็พรุ่งนี้ดีกว่า

  • พนักงาน 2 : ค่ะ (แล้วก็เงียบ)


ตอนนั้นหงุดหงิดมาก เพราะเสียเวลามาก ผมก็ไม่ได้รีบใช้เครื่องอะไรหรอก แต่ในเมื่อวันเดียวเสร็จ และก็ตรงกับวันหยุดผมพอดี

ถ้าแจ้งว่า 3 วันก็ 3 วัน ผมไม่เร่งอยู่แล้ว ที่ไม่โทรถามก่อนเพราะคิดว่ามันคงเสร็จแหละ เพราะพนักงานก็ยืนยันว่าเสร็จ

เหตุการณ์ทำให้ผมคิดได้ว่า...

  1. ทำไมพนักงานรู้ว่าเครื่องซ่อมไม่เสร็จ ทำไมไม่โทรแจ้ง

  2. ทำไมผมแม่งไม่โทรถามก่อนไปว่ะ


สุดท้ายไม่มีแม้ทำคำพูดขอโทษจากพนักงานที่ทำให้ผมเสียเวลาเดินทางมา และกลับตัวเปล่า........ (แต่พนักงานก็พูดสุขภาพนะครับ)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

9 ข้อคิดจากหนังสือ แล้วสักวันเมล็ดพันธุ์อย่างฉันจะงดงาม | เปลี่ยนชีวิตด้วยมุมมองง่าย ๆ

ชีวิตไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ในทันที เพียงแค่เราค่อยๆ เติมเต็มชิ้นส่วนเล็กๆ ทุกวัน ในที่สุดภาพใหญ่ก็จะงดงามเอง 🌈🧩 หนังสือ #ขอบคุณทุกๆสิ่งที่ประกอบเป็นตัวเรา

ข้อคิดดีๆ จากหนังสือ #โค้ชแมวสอนไว้ทำอย่างไรให้เป็นนายของเงิน #รีวิวหนังสือ #แนะนำหนังสือ

วิธีเช็คยอดคงเหลือซิม My by CAT

“การนอกใจเป็นเจตนา ไม่ใช่อุบัติเหตุ” คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมคนเราถึงนอกใจกัน? หรือทำไมบางคนถึงเลือกที่จะทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด? จากหนังสือเล่มนี้มีข้อคิดดีๆ ที่น่าสนใจมาฝากครับ 💔 ทำไมถึงยังทน? หลายครั้งที่คนเราไม่ยอมเดินออกมา ไม่ใช่ไม่รักตัวเอง แต่เป็นเพราะความกลัว, ความผูกพัน, ภาระทางการเงิน, ลูก หรืออาจจะกำลังหลอกตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ปัญหาเหล่านี้ซับซ้อนและต้องใช้ความเข้มแข็งอย่างมากในการตัดสินใจ 🧠 เบื้องหลังพฤติกรรมนอกใจ ในบางกรณี การนอกใจอาจเป็นผลมาจากสภาวะทางจิตใจ เช่น โรคหลงตัวเอง (Narcissistic Personality Disorder - NPD) ที่ทำให้คนคนนั้นขาดความเห็นอกเห็นใจ ต้องการการยอมรับ และเชื่อว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ✨ คุณค่าของคุณไม่ได้ลดลงเพราะการกระทำของเขา สิ่งสำคัญที่สุดที่หนังสือเน้นย้ำคือ การนอกใจเป็นการตัดสินใจของอีกฝ่าย ไม่ได้แปลว่าคุณค่าในตัวคุณลดน้อยลง การที่เขาเลือกคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ดีพอ แต่สะท้อนถึงปัญหาในตัวของเขาเอง 🚶‍♀️ ทางออกที่ดีที่สุด คือการเดินออกมาเพื่อรักตัวเอง สำหรับคน “ที่เติบโตมาอย่างดีและตระหนักรู้ว่าตนเองมีค่ามีศักดิ์ศรี จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายจิตใจ” การเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ทำร้ายเรา ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่คือการเลือกที่จะให้เกียรติและเคารพคุณค่าของตัวเอง การจบความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด คือการเปิดประตูสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าและมีความสุขกว่าเดิมครับ จากหนังสือ | ใครรู้ทัน คนนั้นรอด #ข้อคิดความรัก #จิตวิทยาความสัมพันธ์ #นอกใจ #รักตัวเอง #ความสัมพันธ์ #ให้กำลังใจ

📖 9 ข้อคิด จากหนังสือ | คลินิกหิ่งห้อย พร้อมให้คำปรึกษาทุกปัญหาชีวิต 1. ความหิวที่แท้จริง อาจไม่ใช่ความหิวของกระเพาะ แต่เป็นความหิวของหัวใจ - หลายครั้งเรากินเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกว่างเปล่า ความเหงา หรือความเครียด 2. ความเหนื่อยล้าที่ไม่หายไป คือสัญญาณเตือนจากร่างกาย - เพราะมันคือเสียงกระซิบเตือนว่าเรากำลังใช้พลังงานชีวิตเกินขีดจำกัด ไม่ว่าจะจากการทำงานหนัก ความเครียด หรือไลฟ์สไตล์ที่ไม่สมดุล 3. ยิ่งพยายามจะหลับ สมองก็จะยิ่งตื่นตัว - เพราะการนอนหลับที่ดีเกิดจากการ ”ผ่อนคลาย“ ไม่ใช่การ ”บังคับ“ การปล่อยวางความกังวลว่าจะต้องหลับให้ได้ คือก้าวแรกของการนอนหลับฝันดี 4. ท้องไส้ที่ปั่นป่วน คือภาพสะท้อนของจิตใจที่วุ่นวาย - เพราะร่างกายและจิตใจเชื่อมโยงกันโดยตรง ความเครียดที่เราแบกรับไว้มักแสดงอาการออกมาผ่านระบบย่อยอาหารเป็นอันดับแรกๆ 5. ผลตรวจ ”ปกติ“ ไม่ได้แปลว่าความทุกข์ทรมานของเรา ”ไม่จริง“ - เพราะหลายความเจ็บป่วย เช่น ลำไส้แปรปรวน หรือความอ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยเครื่องมือ แต่ความทุกข์นั้นเกิดขึ้นจริงกับผู้ป่วย 6. ”แรงงานทางอารมณ์“ คือต้นทุนสุขภาพที่มองไม่เห็น แต่ร่างกายต้องจ่ายจริง - การต้องเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงและแสดงออกแต่รอยยิ้มเพื่อการทำงาน คือความเครียดสะสมที่บั่นทอนสุขภาพร่างกายอย่างช้าๆ 7. ระวัง ”วงจรอุบาทว์ของการสั่งยา“ - คือสถานการณ์ที่ผลข้างเคียงของยาตัวที่หนึ่ง ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคใหม่ จนแพทย์สั่งยาตัวที่สองมารักษา กลายเป็นวงจรการใช้ยาที่ไม่จำเป็นและอันตราย 8. นอนน้อยแล้ว ”ง่วง“ คือพักผ่อนไม่พอ, นอนน้อยแล้ว ”ไม่ง่วง“ คือสัญญาณของโรคนอนไม่หลับ - คนที่พักผ่อนไม่พอจะโหยหาการนอนในตอนกลางวัน แต่ผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับมักจะตื่นตัวแม้จะนอนน้อย ซึ่งเป็นปัญหาที่ซับซ้อนกว่า 9. การไดเอทที่หักโหม คือสงครามกับร่างกายที่ไม่มีวันชนะ - ร่างกายจะต่อต้านการอดอาหารสุดขีดเสมอ และสุดท้ายน้ำหนักก็จะดีดกลับมามากกว่าเดิม ผู้เขียน : โอซึงว็อน ผู้แปล : นภัสสร วิรัชศิลป์ สำนักพิมพ์ : nami